สมาชิก
1.
นางสาวเกศนีย์ แก้วศรี 58127328035
2.
นางสาวกัญญาณัฐ โสมาพงศ์ 58127328011
3.
นางสาวศันสนีย์ แสงประเสริฐ 58127328018
4.
นายนพรัตน์ แดงหล่ำ 58127328031
5.
นางสาวมณีวรรณ ตั้งถาวร 58127328037
บทที่ 4 ข้อที่ 5
คำถาม : Do the case
study : Lego: Embracing Change by Combining BI with a Flexible Information
System
Business Intelligence
การบริหาร วางแผน และตัดสินใจ
ในยุคที่ผู้ประกอบการใช้ข้อมูลสารสนเทศเป็นพื้นฐานในการบริหาร
การตัดสินใจ รวมทั้งการวางแผนมากขึ้น ระบบสารสนเทศต่าง ๆ
ที่ใช้งานกันอยู่ตามแผนกต่าง ๆ เช่น ระบบการตลาด การขาย การเงินบัญชี ฯลฯ
ที่นำเสนอสารสนเทศในการปฏิบัติงานตาม ปกติ
ดูเสมือนจะมีความสามารถที่ไม่เพียงพอในการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ข้อมูล
ที่ต้องการข้อมูลสารสนเทศสำหรับการตัดสินใจ การทำงานภายใต้ภาวะกดดัน การควบคุม
ติดตามการดำเนินงานในสภาวะการแข่งขันที่สูง Business Intelligence หรือ “บีไอ”
จึงเป็นเครื่องมือที่ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น
บีไอในระดับกลยุทธ์เป็นเครื่องมือช่วยในการกำหนดวัตถุประสงค์กลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
ด้วยการ นำเสนอรายงานเปรียบเทียบผลการดำเนินงานในมิติต่าง ๆ เช่น
การเปรียบเทียบผลการดำเนินงานในอดีตย้อนหลัง 5-10 ปี
ในลักษณะของเปรียบเทียบผลการดำเนินงานจริง
เปรียบเทียบผลการดำเนินงานจริงกับเป้าหมาย วิเคราะห์ผลกำไร ช่องทางการ
จัดจำหน่ายรวมถึงการใช้ผลการวิเคราะห์เพื่อการพยากรณ์เป้าหมายในอนาคต
องค์ประกอบของบีไอ
บีไอเป็นชุดของเครื่องมือทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและชุดคำสั่งงานเพื่อใช้ในการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูล
ที่มาจากระบบสารสนเทศต่าง ๆ
นำมาวิเคราะห์ด้วยชุดคำสั่งงานให้เป็นสารสนเทศที่ผู้ใช้ประสงค์ตามที่กล่าวมาแล้วนั้น
เพื่อให้การ ทำงานบรรลุตามเป้าหมายการทำงานของบีไอจึงประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วนหลักดังภาพ
1. ชุดเครื่องมือในการคัดแยก (Extract) เปลี่ยนแปลง (Transform) และบรรจุ (Load) ในที่จัดเก็บ
เครื่องมือชุดนี้เป็น ที่รู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า อีทีแอล (ETL) เนื่องจากข้อมูลในแหล่งกำเนิดข้อมูลมีทั้งจำนวนและปริมาณที่สูงมาก
ในการวิเคราะห์ ข้อมูลผู้ใช้ข้อมูลจะมีความต้องการข้อมูลเฉพาะอย่างไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมดและที่สำคัญคือข้อมูลที่ต้องการนั้นไม่ได้อยู่ในแหล่งข้อมูล
เดียวกันทั้งหมด
เครื่องมือชุดนี้จะช่วยทำหน้าที่คัดแยกข้อมูลเฉพาะที่ผู้ใช้ต้องการจากทุกแหล่งข้อมูลมารวมกัน
เมื่อข้อมูลมาจาก แหล่งข้อมูลที่ต่างกันทำให้เกิดความแตกต่างในเรื่องต่าง ๆ เช่น
ขนาดของข้อมูล ลักษณะ รูปแบบ ดังนั้นเครื่องมืออีทีแอล จะทำการทำความสะอาดข้อมูล (Data
Cleansing) เพื่อให้ข้อมูลมีความสม่ำเสมอ สอดคล้องกันทั้งหมด
ก่อนจะนำบรรจุลงที่เก็บ ที่เรียกว่าคลังข้อมูล (Data Warehouse)
. 2. คลังข้อมูล (Data Warehouse) เป็นที่จัดเก็บข้อมูลนำมาจากแหล่งข้อมูลภายในองค์กร
ซึ่งก็คือระบบสารสนเทศ ในระดับปฏิบัติการ
แหล่งข้อมูลภายนอกที่ผู้บริหารเห็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้ในการทำงานการตัดสินใจของผู้บริหาร
และข้อมูล ส่วนบุคคล (Personnel Data) เช่น
ข้อมูลที่ผู้บริหารบันทึกไว้สำหรับในการทำงานของตนเอง
ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำมาจัดเตรียม ให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมจะทำงานเชิงวิเคราะห์(Analytical
Data) ตามที่ผู้บริหารต้องการได้คลังข้อมูลจะเป็นฐานข้อมูลสำหรับ
การวิเคราะห์ด้วยชุดคำสั่งงานต่าง ๆ เช่น การประมวลผลเชิงวิเคราะห์แบบออนไลน์หรือโอแลบ
(On-Line Analytical Processing, OLAP) การทำเหมืองข้อมูล
(Data Mining) และระบบสารสนเทศอื่น ๆ เป็นต้น
3.1 ชุดคำสั่งงานในการจัดทำรายงาน
รวมถึงการนำเสนอรายงานจากการสอบถามที่ไม่ได้มีการคาดการณ์ไว้ก่อน (Ad
Hoc Query) รายงานที่นำเสนอมักจะเป็นผลการดำเนินงานตามตัวบ่งชี้การดำเนินงานต่าง
ๆ ของหน่วยงาน หรือการติดตาม ค่าเป้าหมายของการดำเนินงานที่สำคัญ
การนำเสนอรายงานมักจะอยู่ในรูปแบบของกราฟเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจได้ง่าย ผ่าน Dashboard
3.2 การประมวลผลเชิงวิเคราะห์แบบออนไลน์หรือโอแลบ (Online Analytical
Processing, OLAP) เป็นชุดคำสั่งงาน
ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานวิเคราะห์ข้อมูลที่มาจากคลังข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลที่เกิดขึ้นบ่อยจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลหลายมิติ (Multidimensionality) เพื่อช่วยให้ผู้วิเคราะห์ได้มองเห็นข้อมูลในเชิงลึกในมิติต่าง ๆ
เป็นการเสริมความเข้าใจในสถานการณ์
3.3 การทำเหมืองข้อมูล (Data Miming) เป็นชุดคำสั่งงานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหาความสัมพันธ์ในระหว่าง
ข้อมูลที่ไม่เคยมีการค้นพบมาก่อน หรือคาดการณ์กันมาก่อน
การได้ค้นพบสิ่งใหม่ก่อนผู้อื่นอาจจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
ผลการวิเคราะห์ที่นำเสนอจากการทำเหมืองข้อมูล เช่น
การวิเคราะห์เพื่อจัดประเภทลูกค้า การค้นหากลุ่มของลูกค้า การค้นหา
ลักษณะหรือพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม การพยากรณ์พฤติกรรมของลูกค้าที่อาจจะพาไปสู่การกระทำที่ไม่ดีเช่น
การฉ้อโกง องค์กร เป็นต้น
บีไอเป็นความหวังของผู้ประกอบการที่จะได้เข้าถึงข้อมูลในเชิงลึก
เพื่อทำความเข้าใจในผลประกอบการ สภาพการแข่งขัน เพื่อแสวงหาวิธีการ
กลยุทธ์มาใช้ช่วยในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน การสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่
ๆ แต่การจะ
บรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีบีไอใช้ในองค์กรอย่างเดียวแต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น
ๆ ดังต่อไปนี้ด้วย 1. ผู้บริหารเป็นผู้ที่ใช้ข้อมูลสารสนเทศเป็นฐานในการบริหารและการตัดสินใจ 2. ผู้บริหารเป็นผู้ที่ตั้งใจและตระหนักว่าตนเองต้องการข้อมูลหรือสารสนเทศอะไร 3. องค์กรหรือหน่วยงานต้องมีความพร้อมในข้อมูลจากการปฏิบัติงานเพื่อนำเข้าสู่คลังข้อมูล
บทที่ 5 ข้อที่ 8
คำถาม : ทำ Case study หนา 307 เรื่อง MONITORING
EMPLOYEES ON NETWORKS: UNETHICAL OR GOOD
การตรวจสอบพนักงานในเครือข่าย:
ธุรกิจตามหลักจรรยาบรรณดีหรือไม่?
1.
ผู้จัดการควรตรวจสอบการทำงานของพนักงานอีเมลและการใช้งานอินเทอร์เน็ต? ทำไมหรือทำไมไม่?
ผู้จัดการสามารถตรวจสอบการทำงานของพนักงานอีเมลและอินเทอร์เน็ตเพราะการวิจัยพบว่าประมาณ77
เปอร์เซ็นต์ของแรงงานที่มีบัญชี Facebook ใช้พวกเขาในช่วงเวลาทำงาน
เสียพนักงานเฉลี่ยนอกจากนี้ประมาณร้อยละ 30
ของการทำงานประจำวันในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเว็บในขณะที่ร้อยละ 90
ของพนักงานได้รับหรือส่ง e-mail ส่วนบุคคลในที่ทำงานทั้งหมดนี้ดูว่าผลกระทบของ
บริษัท ซึ่งเป็น:
· สร้างปัญหาทางธุรกิจที่รุนแรง
· การหยุดชะงักดุ๊กดิ๊กที่เบี่ยงเบนความสนใจของพนักงานจากการงานงานที่พวกเขาควรจะได้รับการปฏิบัติ
· ผู้จัดการกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียเวลาและการทำงานของพนักงานเมื่อพนักงานจะเน้นส่วนตัวมากกว่าธุรกิจของ
บริษัท
· เวลามากเกินไปในธุรกิจส่วนตัวแปลเป็นรายได้ที่หายไป
· เครือข่ายของ บริษัท
สูงเกินไปก็ยังเกิดการอุดตันเครือข่ายของ บริษัท
เพื่อให้การทำงานของธุรกิจที่ถูกกฎหมายไม่สามารถดำเนินการ
· พนักงานจะสามารถส่ง บริษัท
ที่เป็นความลับหรืออาจอายอีเมลให้กับบุคคลภายนอก
2.อธิบายอีเมลและเว็บนโยบายการใช้งานที่มีประสิทธิภาพสำหรับ
บริษัท
· อีเมลที่มีประสิทธิภาพและนโยบายการใช้งานเว็บเป็นสามารถออกวางขั้นตอนที่เฉพาะเจาะจงและความรับผิดชอบ,การระบุว่าผู้ใช้และหน่วยขององค์กรสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันที่ข้อมูลสามารถกระจายและใครเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับการปรับปรุงและการบำรุงรักษาข้อมูล
· บริษัทสามารถใช้ซอฟต์แวร์จากสเปคเตอร์ซอฟท์คอร์ปอเรชั่นที่บันทึกทุกการเยี่ยมชมเว็บไซต์ของพนักงานใช้เวลาที่แต่ละเว็บไซต์และส่ง E-mail
· นอกจากนี้ บริษัท ยังสามารถใช้ e-mail ธงการตรวจสอบซอฟแวร์บางประเภทของข้อความและคำหลักในข้อความสำหรับการตรวจสอบต่อไป
· นโยบายการใช้งาน บริษัท
ที่มีกฎพื้นอย่างชัดเจนว่ารัฐโดยตำแหน่งหรือระดับภายใต้สิ่งที่พนักงานกรณีสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวก
บริษัท ศัตรูอีเมล, บล็อก, หรือการท่องเว็บ
3)
ผู้จัดการควรแจ้งพนักงานว่าพฤติกรรมของพนักงานจะถูกตรวจสอบหรือไม่ ?
ผู้จัดการควรแจ้งพนักงานที่ใช้ของพวกเขาจากเว็บถูกตรวจสอบนี้เป็นเพราะ
· เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พนักงานธุรกิจส่วนตัวของพวกเขา
· พนักงานสามารถมีสมาธิในช่วงเวลาทำงานของพวกเขา
· ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของ
บริษัท
· ให้พนักงานทราบว่าที่ บริษัท ยืน
· การตรวจสอบอาจช่วยระบุผู้ใช้ที่ถูกบันทึกจริงในมากกว่าหนึ่งสันนิษฐานว่าจะเป็นสาเหตุของปัญหา
กรณีศึกษา : วิธีการที่ STARBUCKS ใช้ในการปรับเปลี่ยนเป็นองค์กรดิจิทัลและสังคม
1. ปัญหาของ Starbucks คืออะไร เหตุใด Starbucks จึงเลือกแนวทางของเครือข่ายดิจิทัลและสังคมมา
แก้ปัญหาของธุรกิจที่เกิดขึ้น
ตอบ ปัญหา
คือรายได้จากการดำเนินการลดลง เศรษฐกิจชะลอตัว และการเพิ่มขึ้นของคู่แข่ง เช่น Green
Coffee Mountain Roasters และที่ Starbucks เลือกแนวทางของเครือข่ายดิจิทัลและสังคม เพราะ ต้องการมีปฎิสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับลูกค้าของตนเองมากขึ้น
2.
อธิบายว่าการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานของร้านค้า Starbucks ในรูปแบบเดิม
มาริเริ่มโครงการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร
ตอบ 1.
มีโอกาสเพิ่มรายได้ จากการโฆษณาสินค้าใน สื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น YouTube, Instagram
2.
ช่วยเพิ่มปฎิสัมพันธ์กับลูกค้า กระจายข่าวสาร ลงรูปภาพ โปรโมชั่น และข้อเสนอพิเศษ
ผ่านช่องทางต่างๆ ในสื่อออนไลน์ ที่มีผู้ติดตามจากทั่วโลก
3.
อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า โดยการชำระสินค้าผ่านมือถือ
3. วิเคราะห์โครงการสื่อสังคมออนไลน์ ของ Starbucks ที่ได้ดําเนินการไปแล้ว เช่น Website, Facebook,Twitter,
Google+, Youtube, Flickr, และ Instagram เป็นต้น ว่ามีจุดเด่น และจุดด้อยอะไรบ้าง
และนําเสนอสิ่งที่ควรปรับปรุงแก้ไขบนสื่อเหล่านั้น
ตอบ จุดเด่น 1.ข้อมูลในเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือสามารถทำให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ
2.มีตัวอย่างสินค้าให้ผู้บริโภคได้เข้ามาศึกษาว่าน่าสนใจหรือไม่เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ
3.Starbucks ให้ความสำคัญแก่ลูกค้าจึงมีการนำเสนอข้อมูลต่างๆในเว็บไซต์เพื่อให้ลูกค้าไว้วางใจ
4.Starbucks เน้นคุณภาพของสินค้าโดยในเว็บไซต์มีการบอกเรื่องราวเกี่ยวกับการคัดสรรเมล็ดกาแฟที่ดีที่สุดในการผลิตเครื่องดื่ม
5.Starbucks เพิ่มโอกาสให้สมาชิกโดยมีการลงทะเบียนสตาร์บัคส์คาร์ดเพื่อให้สมาชิกได้ตรวจสอบข้อมูลของบัตรสตาร์บัคส์คาร์ด
เช่นการตรวจสอบยอดเงินในบัตรและป้องกันเงินที่จะสูญหาย
6.ในเว็บไซต์ลูกค้าสามารถติดต่อกับ Starbucks ได้โดยการส่งความคิดเห็นไปยังอีเมล์หรือมีข้อสงสัยใดๆก็สามารถโทรไปสอบถามได้
จุดด้อย
1.มีคู่แข่งทางด้านธุรกิจรายใหญ่ๆเยอะจึงอาจดึงดูดลูกค้าไปบ้าง
2.เว็บไซต์ของคู่แข่งก็มีความน่าสนใจลูกค้าจึงอาจเอนเอียงไปใช้บริการเว็บไซต์ของคู่แข่ง
3.รูปภาพสินค้าทางเว็บอาจไม่เหมือนสินค้าจริง
อาจทำให้ลูกค้าไม่ค่อยพึงพอใจเมื่อเห็นสินค้าจริง สิ่งที่สตาร์บัคควรปรับปรุง
3.1ไม่ควรมีรายการอาหารเยอะเพราะอาจจะเสียบรรยากาศร้านกาแฟ
อาจจะแยกโซนของรายการอาหาร ให้อยู่คนละหมวดหมู่กับกาแฟ
3.2จัดโปรโมชั่นทางเว็บไซต์เพื่อดึงให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการทางเว็บและเพิ่มลูกค้าหน้าใหม่ๆ
3.3เพิ่มช่องทางการชำระเงิน ให้สามารถชำระเงินได้หลายช่องทางมากขึ้น เช่น ทาง
ทรูมันนี่ วอลเล็ท Line Pay เป็นต้น
4.อธิบายว่าเครือข่ายดิจิทัลและสังคม
ทั้งโครงการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และโครงการสื่อสังคมออนไลน์
มีส่วนช่วยในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และความภักดีกับลูกค้าของ Starbucks ได้อย่างไร
ตอบ 1.
ร้านค้าออนไลน์ starbuck ได้ออกแบบเว็บไซต์ใหม่
เพื่อให้การช็อปปิ้งสะดวกและง่ายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ลูกค้าในระดับบุคคลหรือบริษัทสามารถกําหนดการจัดส่งสินค้าตามมาตรฐานของร้านและกรณีที่เป็นรายการพิเศษได้
เช่น ลูกค้าสามารถสั่งผลิตภัณฑ์ที่มีแค่สาขาบางแห่งได้
ปัจจุบันลูกค้าทั่วโลกได้รับความเพลิดเพลินกับประสบการณ์นี้มาก รวมทั้งลูกค้าออนไลน์ยังได้รับโปรโมชั่นพิเศษจากการซื้อผลิตภัณฑ์ในร้านค้าออนไลน์อีกด้วย
2.โปรแกรมบัตร e-Gift ลูกค้าสามารถซื้อบัตรของขวัญดิจิทัลที่ลูกค้ากำหนดเองได้
เช่นบัตรของขวัญสําหรับวันเกิดเพื่อนจะถูกส่งโดยอัตโนมัติในวันที่ที่ต้องการการชําระเงินสามารถทําได้ด้วยบัตรเครดิตหรือบริการของ PayPal บัตรของขวัญถูกส่งไปยังผู้รับผ่านทาง e-mail หรือ Facebook ผู้รับสามารถพิมพ์บัตรและไปซื้อของได้ที่ร้านค้า Starbucks และสามารถโอนจํานวนเงินไปใช้กับบัตรการชําระเงินของ Starbucks หรือไปยังบัตร Starbucks บนมือถือ
3.โปรแกรมสร้างความภักดี
เป็นโปรแกรมที่ผู้เข้าถึงระดับทองคำ จะได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมพิเศษ
4.การชำระเงินผ่านมือถือ โดยลูกค้าจะต้องมีแอพพลิคชั่นบนโทรศัพท์มือถือของตน
โดยเมื่อชำระเงินระบบจะทำการเชื่อมต่อกับบัตรเดบิตหรือเครดิตการ์ดอัตโนมัติ
ระบบนี้ทำงานเฉพาะในร้านค้าของบริษัทเท่านั้น
โดยการชำระเงินจะต้องใช้งานผ่านอินเตอร์เน็ต
5.โครงการสื่อสังคมออนไลน์
โดยสื่อสังคมโดนไลน์ที่ใช้ระบบอินเตอร์เน็ตมีการปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมกับผู้ใช้ Starbucks จึงริเริ่มกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าตามความต้องการของลูกค้าทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
6.การใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวกรอง Starbucks มีเว็บไซต์
ที่สามารถสร้างข้อมูลข่าวกรอง เพื่อให้คำแนะนำการปรับปรุง โดยการโหวตให้คำแนะนำ
ถามคำถาม แสดงข้อร้องเรียนและความไม่พอใจของพวกเขา
7.กิจกรรมของ Starbucks บน Facebook โดย Starbucks สามารถปฏิบัติกิจกรรมการพาณิชย์เพื่อสังคมได้หลายอย่างไว้บน Facebook ข้อมูลข่าวสารต่างๆ สร้างขึ้นจากลูกค้าของ Starbucks โดยการอัปโหลดวิดีโอ โพสต์บล็อก ลงรูปภาพถ่าย
โปรโมชั่นไฮไลต์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และข้อเสนอพิเศษ
ผู้คนนับร้านจึงชื่นชอบกิจกรรมนี้ ทำให้ Facebook ของ Starbucks จึงเป็นที่นิยมมากที่สุดแห่งหนึ่ง มีผู้ติดตามกว่า 36 ล้านคน
8.การเข้าร่วมของ Starbucks ใน Linkedin และ Google+ โดย Starbucks มีข้อมูลกี่ยวกับบริษัทอยู่บนเว็บไซต์ Linkedin ซึ่งมีผู้ติดตามมากว่า 50,000 ราย โดย
แสดงข้อมูลของธุรกิจเกี่ยวกับประวัติบริษัท แสดงรายชื่อใหม่ในตําแหน่งผู้บริหาร
การโฆษณาประชาสัมพันธ์ และประกาศหางานในตําแหน่งที่ว่างอยู่ นอกจากนี้ Starbucks ยังเข้าร่วมอยู่ใน Google+ ด้วย
9.การดำเนินการของ Starbucks บน Twitter ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 Starbucks มียอดขายกว่า 2.2 ล้าน มีผู้ติดตามใน Twitter ซึ่งจัดขึ้นใน 18,025 รายการ
แต่ละรายการมีผู้ติดตามและทวิตของตัวเองเมื่อใดก็ตามที่บริษัทมีการปรับปรุงใหม่หรือมีแคมเปญการตลาด
บริษัทจะนําไปสนทนาใน Twitter ภายในเดือนตุลาคม 2013,Starbucks เป็นผู้ค้าปลีกอันดับหนึ่งที่ต้องปฏิบัติตามพูดเบาและรวดเร็ว
ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2013 Starbucks จะมีการส่งบัตรของขวัญมูลค่า 5 เหรียญถึงเพื่อนใน Twitter และผู้ติดตาม
10.กิจกรรมของ Starbucks บน YouTube,
Flickr, และ Instagram โดย Starbucks มีการดำเนินการแคมเปญโฆษณาใน Youtube และ Flickr ในส่วน Instagram Starbucks มีผู้ติดตามประมาณ
250,000 คน โดยมีกิจกรรมพิเศษ เช่น
การแจกคูปองส่วนรถหากตอบคำถามถูก เป็นต้น
11.เครือข่ายดิจิทัลของ Starbucks โดย Starbucks ได้สร้างเครือข่ายดิจิทัล เพื่อสนับสนุนกิจกรรมแบบดิจิทัล
โดยการเป็นหุ้นส่วนกับผู้ให้บริการสื่อรายใหญ่ๆ
โดยเครือข่ายดิจิทัลถูกออกแบบมาสำหรับทุกคน
โดยทุกข้อที่กล่าวมานี้เป็นการสร้างความสำพันธ์ที่ดีให้กับหลายๆฝ่าย
และยังเป็นการเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และโดยกิจกรรมที่จัดขึ้นต่างๆ
เป็นการสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคง ทำให้ลูกค้าจงรักภักดีกับแบรนด์ Starbucks
5.
วิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จในการนาเครือข่ายดิจิทัลและสังคม มาใช้ในการดำเนินงานของ Starbucks ประกอบด้วยปัจจัยอะไรบาง
ตอบ
1.คุณภาพของผลิตภัณฑ์
(ข้อกำหนด) :
กาแฟที่ผลิตทั้งหมดต้องตรงตามมาตรฐานคุณภาพสูงของสตาร์บัคส์
2.ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ทางเศรษฐกิจ
(ข้อกำหนด) :
การปฏิบัติงานต้องมีความโปร่งใส
ซัพพลายเออร์ต้องส่งหลักฐานการชำระเงินในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตและจัดส่งกาแฟ
เพื่อแสดงว่าเงินที่สตาร์บัคส์ได้จ่ายเพื่อซื้อกาแฟสด (ที่ยังไม่ได้คั่ว)
นั้นถึงมือชาวไร่เป็นจำนวนเท่าใด
3.ความรับผิดชอบต่อสังคม
(ประเมินโดยผู้ตรวจสอบภายนอก) :
มีการใช้มาตรการต่างๆ
ที่ได้รับการประเมินโดยผู้ตรวจสอบจากภายนอก
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสภาพการทำงานนั้นปลอดภัยและเป็นธรรม รวมถึงมีการปกป้องสิทธิของคนงานและจัดหาที่อยู่อาศัยที่มีสภาพเหมาะสม
นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดแบบบังคับให้ปฏิบัติตามกฎหมายด้านค่าจ้างขั้นต่ำ แรงงานเด็ก
และการบังคับใช้แรงงาน
4.ความเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม
(ประเมินโดยผู้ตรวจสอบภายนอก) :
มีการใช้มาตรการในการจัดการของเสีย
การรักษาคุณภาพน้ำ การรักษาทรัพยากรน้ำและพลังงาน
การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการลดการใช้สารเคมีในการเกษตร



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น